วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[OS] Baby.. I'm Madly Man | LoJae

[FanFiction B.A.P]
Baby.. I’m Madly Man
Couple: Choi Junhong & Yoo Youngjae
Rate: PG-13




ตามทางเดินสีขาวสะอาดตาทอดยาวไปตามแนวระเบียงที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกอาคารได้อย่างชัดเจน เสียงใบไม้เสียดสีกันยามมีลมพัดผ่านกับแสงแดดอ่อนๆ ไม่แรงมากของช่วงสาย บรรยากาศเป็นใจชวนให้พักผ่อนยิ่งนักแม้จะเพิ่งตื่นจากนิทรารมณ์มาแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน


จังหวะการก้าวขาที่สม่ำเสมอของชายร่างเล็กกำลังเดินตรงไปยังจุดหมาย มือหนึ่งกอดแฟ้มรายงานผลการตรวจร่างกายของคนไข้ไว้สองเล่ม วันนี้เขายังคงต้องปฏิบัติหน้าที่เหมือนอย่างทุกวันคือ ตรวจสภาพร่างกายของผู้ป่วยไม่ก็อยู่เล่นกับคนเหล่านั้นบ้างหรือแม้กระทั่งแกล้งบ้าเพื่อให้คนไข้ในการดูแลเชื่อว่าตนเป็นพวกเดียวกับคนเหล่านั้น...



อ่า...อ่านไม่ผิดหรอก “แกล้งบ้า” นั่นแหละ...          



ท้าวความกันสักนิด ผม ยู ยองแจ เป็นนักศึกษาแพทย์ที่จบมาได้สามสี่ปีแล้วล่ะครับ ผมเรียนเกี่ยวกับจิตเวชศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของคณะแพทย์นี่แหละและได้มาทำงานกับโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิตแห่งหนึ่งในเครือของรัฐบาลที่รองรับนักศึกษาแพทย์โดยเฉพาะ


ดังนั้นชีวิตประจำวันของผมก็คือการอยู่กับผู้ป่วยที่มีปัญญาทางด้านจิตใจ อารมณ์และความคิด เหล่านั้นแหละครับ ผมไม่เคยมองว่าคนพวกนี้เป็นคนวิกลจริตแต่อย่างใด พวกเขาก็เหมือนกับพวกเรานี่แหละครับแต่พวกเขาแค่ไม่รู้วิธีการจัดการอารมณ์และความรู้สึกเสียมากกว่าจนคนทั่วไปมองว่าคนเหล่านี้เป็น พวกคน วิกลจริต หรือภาษาชาวบ้านที่เรียกว่า คนบ้า


อาการทางประสาทเหล่านี้ไม่มีสามารถรักษาให้หายขาดได้หรอกครับ มีแต่เยียวยาให้ผู้ป่วยมีกำลังใจแล้วกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติเท่านั้นแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยอย่างน้อยก็สัก สี่ปี..ห้าปี...สิบปี หรือตลอดชีวิต.........


แล้วใครว่าโรงพยาบาลแบบนี้จะมีแต่ผู้ป่วยจิตไม่ปกติล่ะครับ คนปกติก็มี คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าโรงพยาบาลบ้าเป็นสถานที่สำหรับคนวิกลจริตเท่านั้นแต่ในความเป็นจริงแล้วคนทั่วไปก็สามารถมาใช้บริการและขอคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางได้เหมือนกัน อย่างเช่นว่าเห็นบ่อยๆ ตามละครหลังข่าวที่พระเอกไปขอคำปรึกษาจากหมอเพราะกำลังสับสนว่าตนอาจจะกำลังคิดชอบพอกับเพศเดียวกัน นั่นก็เป็นหนึ่งในเคสคนไข้ที่เขาเคยเจอ หรือพนักงานทั่วไปที่มีปัญหาเรื่องความเครียดแล้วไม่รู้จะจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร นั่นก็เป็นอีกเคสตัวอย่าง


เมื่อสองขาเดินมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นห้องทำงานของเขา มือเรียวค่อยๆ ผลักบานประตูออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปด้านในปล่อยให้บานไม้เคลือบสีขาวนั่นดีดตัวปิดเองโดยอัตโนมัติ ภายในห้องไม่ได้ร้างคนอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก แต่ยังมีเพื่อนร่วมสายงานอยู่ในห้องเดียวกันอีกสองสามคน ขาก้าวไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงกับเก้าอี้บุนวมสีดำ


“เฮ่อ...ปวดไหล่เป็นบ้า” ร่างเล็กบ่นอุบพลางบีบนวดบริเวณหลังคอคลายอาการเมื่อยล้าไปด้วย เจอศึกหนักแต่เช้าแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ


“ไงเจ้าหมูเจอศึกแต่เช้าเลยล่ะสิ ฮ่าๆๆ” เสียงดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นตามเสียงก็พบว่าเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนของเขาเอง คิม ฮิมชาน
                      

“พี่ไม่มีบ้างให้มันรู้ไป ใส่มาซะเต็มแรงทำเอาแทบเดินไม่ไหว” ยองแจบ่นกระปอดกระแปดพลางนึกไปถึงเรื่องเมื่อเช้า สาเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งบ่นเป็นคนแก่ทำอะไรไม่ได้แบบนี้


“ฉันก็อยากเข้าไปห้ามอ่ะนะ แต่ค่ายบางระจันกำลังจะเข้าตีหงสา(?)แล้วฉันยังไม่อยากตายน่ะ กร๊ากกกก!!” คิมฮิมชานตบโต๊ะเสียลั่นห้องจนคนอื่นพากันสงสัยกับเสียงหัวเราะของร่างสูงตรงหน้าว่ามันมีอะไรให้น่าขำนักหนา


“ถ้าพี่เจอบ้างผมจะไม่เข้าไปช่วยเลยคอยดู =*=” เจ้าของโต๊ะชี้หน้าอย่างคาดโทษ


ย้อนไปเมื่อตอนเช้ายองแจกับฮิมชานมีเวรตรวจร่างกายคนไข้ ตอนนั้นก็เวลาประมาณแปดโมงกว่าๆ ซึ่งคนไข้ในการดูแลส่วนใหญ่ก็จะตื่นและพากันไปวิ่งเล่นที่สวนหน้าโรงพยาบาลกันตั้งแต่เช้าแล้ว ทำให้พวกเขาต้องลงไปตรวจข้างล่างแทนที่จะเป็นในห้องเหมือนอย่างทุกที


แล้วเพราะเหตุการณ์เมื่อเช้านั่นแหละที่ทำให้เขาต้องมานั่งทรมานอยู่แบบนี้ ตอนที่เขากำลังตรวจเช็คสภาพผู้ป่วยคนอื่นๆ อยู่โดยมีฮิมชานคอยจดบันทึกอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็มีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งเกิดอยากเล่นขี่ม้าตีเมืองขึ้นมาแต่หาม้าไม่ได้ เคราะห์กรรมทั้งหมดเลยมาตกที่พวกเขา แต่จะใช้คำว่าพวกเขามันก็ไม่ถูก! ยูยองแจแค่คนเดียวต่างหาก! พูดแล้วมันน่าโกรธรุ่นพี่ตัวเองสักร้อยชาติ =*=


ทันทีที่เห็นพวกคนไข้ไร้เดียงสาทางความคิด(?)เหล่านั้นวิ่งมาทางที่พวกเขายืนอยู่ก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้คงไม่แคล้วเรียกให้ไปเล่นด้วยนั่นแหละ แล้วมนุษย์แพะ(?)คิมฮิมชานดันเกิดไหวตัวทันวิ่งหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ทิ้งเขาให้ยืนเคว้งอยู่คนเดียวกับบุรุษพยาบาลแถวนั้นอีกสี่ห้าคน แฟ้มบันทึกผลก็ไม่เอาไป ชนิดที่ว่าเผ่นแน่บตัวปลิวจริงๆ ให้ตายสิพับผ่า!


กลายเป็นว่าเขาต้องมาเป็นม้าให้ไอ้เด็กยักษ์คนหนึ่งขี่ เด็กคนนั้นมันชื่อว่า ชเว จุนฮง เป็นเด็กที่ตัวสูงกว่าเขาเกือบสิบเซนได้ แถมพอขึ้นมาบนหลังแล้วแทบจะมองไม่เห็นตัวม้าอย่าเขาเลยเหอะ เมื่อตอนปกติพ่อแม่มันเลี้ยงด้วยอะไรถึงได้โตไวเกินอายุแบบนี้!


พูดถึงพ่อแม่ของเจ้าเด็กนี่ เมื่อสองปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วประเทศ สิ่งพิมพ์ทุกฉบับตีพิมพ์เกี่ยวกับข่าวการก่ออาชญากรรมอุกอาจของผู้ร้ายรายหนึ่งที่ทำการฆาตกรรมยกบ้านของครอบครัวนักการทูตเกาหลีและจับลูกชายวัย 14 ปี ของท่านทูตหรือก็คือบิดาของจุนฮงเป็นตัวประกันโดยที่เด็กนั่นได้แต่ยืนร้องไห้อย่างหวาดกลัวในวงแขนของคนร้ายและเห็นศพของพ่อแม่ตัวเองนอนตายจมกองเลือดไปต่อหน้าต่อตา...


และภาพนั้นมันก็ติดตาจนเห็นเป็นภาพหลอนทำให้เด็กคนนี้เกิดอาการที่เรียกว่าโรคประสาทอย่างทุกวันนี้ แต่แพทย์ได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นเพียงอาการโรคประสาทชั่วคราวอันเนื่องมาจากผลกระทบทางจิตใจยังไม่เข้าขั้นบ้าเหมือนอย่างผู้ป่วยรายอื่นๆ ดังนั้นเด็กคนนี้จึงมีเปอร์เซ็นต์ที่จะสามารถกลับมาเป็นคนปกติได้มากกว่า


“นี่ก็จะสิบโมงแล้วนะ ไม่ไปพาเด็กนั่นขึ้นห้องสักทีเดี๋ยวก็เลยเวลากินข้าวไปมากกว่านี้หรอก” ฮิมชานเอ่ยเตือนเพื่อนร่วมงานที่พ่วงด้วยรุ่นน้องคนสนิทเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เข็มสั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างเลขเก้ากับเลขสิบแล้วอีกไม่นานคงเบี่ยงขึ้นไปทางเลขด้านบนจนสนิท


“เฮ่อ....นี่ผมต้องกลับไปเจอเด็กนั่นอีกแล้วเหรอ” ร่างเล็กถอนหายใจยาวยามนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต คงไม่แคล้วโดนคนบ้าแกล้งอีกล่ะมั้ง เขาว่าเขาก็คนปกตินะแต่ทำไมถึงตามเด็กยักษ์นั่นไม่เคยทัน



ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์....



“แน่นอนสิครับ เพราะทั้งโรงพยาบาลไม่มีใครรับมือเจ้าเด็กนั่นได้เลยนอกจากหมูแจของหมาจู~


ฮิมชานอดไม่ได้ที่จะแซวคุณหมอร่างเล็กด้วยฉายาที่ลูกนักการทูตคนนั้นตั้งให้โดยเฉพาะของคุณหมอยู ก็ตอนนี้เขารู้กันทั้งโรงพยาบาลแล้วว่าคนไข้ลูกท่านทูตเกาหลีเขาติดคุณหมอยองแจยิ่งกว่าตังเม เกาะแน่นยิ่งกว่ากาวตราช้าง แถมเชื่อฟังแค่ยองแจคนเดียวอีกแบบนี้ใครจะไปกล้าดูแลเด็กนั่นกันล่ะไม่อย่างนั้นคงได้โดนเจ้าโย่งแกล้งปากบใส่เอาน่ะสิ ซึ่งนี่ยังเป็นปริศนาว่าเจ้าเด็กนั่นมันเอาสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพวกนี้เข้ามาในห้องพักได้อย่างไรแถมหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ


หรือว่ามันเสกกบขึ้นมาได้ =..=


ชักไร้สาระเกินไปละ!


“อยากตายในหน้าที่มั้ยครับคุณคิมฮิมชาน =”=


“โถๆๆ ล้อเล่นนิดเดียวเอง นายเองก็รีบไปทำหน้าที่ของนายเถอะก่อนที่หัวหน้าจะมาเจอ เดี๋ยวจะหาว่าทิ้งคนไข้ในการดูแลไม่รู้ด้วยนา” ร่างสูงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี (จริงๆ นะ) ไม่ได้ผลักไสอีกคนแต่อย่างใด เพราะเขาเองก็มีคนไข้ที่ต้องไปดูแลเหมือนกันไม่รู้ว่าป่านนี้ครัวของโรงพยาบาลจะวอดวายเพราะมีแมว(?)ไปอาละวาดแล้วหรือยัง


“ว่าแต่เขา พี่เองด้วยนั่นแหละ ขอให้ไล่จับแมวได้ทันก่อนที่พวกเราจะไม่มีอะไรกินเป็นมื้อกลางวัน”แอบเหน็บพี่ชายตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ฮิมชานยักไหล่เหมือนสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด



ก็เขามีวิธีกำหลาบเจ้าแมวขี้ขโมยตัวนั้นแล้วน่ะสิ หึหึ...

...........


ร่างเล็กของคุณหมอหนุ่มเดินออกมาที่สวนหน้าอาคารอีกครั้งพร้อมกับแดดใกล้เที่ยงที่เริ่มทวีความร้อนมากยิ่งขึ้นจนต้องเอามือบังแสงเพื่อมองหาตัวเป้าหมายที่ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปวิ่งซนอยู่ที่ไหนทั้งที่กำชับไว้แล้วแท้ๆ ว่าให้อยู่แค่บริเวณนี้หรือเขาอาจจะลืมไปว่าคำสั่งมันใช้กับคนบ้าไม่ได้?


แล้วจู่ๆ ก็มีมือที่มองไม่เห็น(?)มาปิดดวงตาเรียวจากทางด้านหลังจนเจ้าตัวสะดุ้งด้วยความตกใจแต่น้ำเสียงทุ้มต่ำขี้เล่นเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร


“ทายจิ้ ครายเอ่ยยยย*0*” ยองแจยกยิ้มในความขี้เล่นของอีกคน ถึงจะมั่นใจแล้วว่าเป็นใครงั้นเขาจะเล่นด้วยไปก่อนก็ได้



ก็เล่นแบบนี้มาตั้ง 2 ปีแล้วนี่นะ...



“หมอไม่รู้หรอกครับ ว่าแต่คุณเป็นใครกันเหรอ? น่าสงสัยจัง”


“คุณหมอไม่รู้จริงๆ หย๋อออ เค้าว่าคำถามนี้ง่ายที่สุดในสามโลกเลยนาาา”



เหมือนจะแอบด่าว่าโง่อยู่กลายๆ ไอ้เด็กบ้านี่ ยองแจคิดในใจ..



“อืม...งั้นขอเดาว่านายคือจุนฮงสินะ ใช่หรือเปล่า?”


“แห๋~ จุนฮงนี่เขาเป็นใครเหรอฮะ?” น้ำเสียงแสดงออกว่าสงสัยเต็มที่กับคำตอบที่ได้ยิน ยองแจเลิกคิ้ว ปกติถ้าเขาตอบถูกเด็กนี่ก็จะยอมปล่อยแล้วก็ดิ้นแง้วๆ ว่าทำไมเขาถึงทายถูกมากกว่า วันนี้มาแปลก


“ก็เด็กผู้ชายตัวสูงๆ อ่ะ หน้าตาปัญญาอ่อนๆ ชอบจับกบมาแกล้งคนในโรงพยาบาล แสบน่าดูเลยล่ะเด็กคนนี้” พูดไปก็แอบขำน้อยๆ เขาได้ยินคนด้านหลังถอนหายใจฟึดฟัดด้วยล่ะ สงสัยจะรู้ตัว ฮ่าๆๆ


“ไม่ช่ายซะหน่อยยยยยย เค้าไม่เคยแกล้งใครน้า =3=



แหนะ! ไหนว่าไม่รู้จัก



“เหรอ แล้วนายว่าคนที่ชื่อจุนฮงนี่เขาเป็นคนยังไงล่ะ?” ถึงตรงนี้คุณหมอร่างเล็กค่อยๆ แกะมือของอีกคนออกแถมยังง่ายกว่าที่คิดเมื่อหันกลับไปเผชิญหน้าก็เห็นว่าเจ้าเด็กยักษ์นี่กำลังทำหน้าครุ่นคิดจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังเล่นปิดตากันอยู่


“เค้าว่าต้องเป็นคนหล่ออ่ะ! ดูเท่ เรียนเก่ง แถมมีแฟนน่ารักด้วยนา อิอิ”


“หืม? แล้วนายรู้ได้ไงว่าจุนฮงเขามีแฟนหน้าตาเป็นยังไง?” รอยยิ้มละมุนระบายออกมาบนใบหน้า เส้นผมนุ่มปลิวยามมีสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน คิ้วเรียวเลิกขึ้นราวกับกำลังลุ้นในคำตอบ ร่างสูงจ้องมองใบหน้านั้นอย่างคนตกอยู่ในภวังค์ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆ เผยอเอ่ยคำตอบออกมา


“รู้สิฮะ ก็แฟนของจุนฮงเขายืนอยู่นี้งายยย~” พูดจบก็ยิ้มจนตาปิดก่อนจะกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความเขิน แต่คุณหมอนี่ดูจากช็อคไปแล้ว


“ฮ..ฮะๆ น..นี่ จุนฮง! ได้เวลาขึ้นห้องแล้วนะ! เดี๋ยวแดดแรงกว่านี้จะไม่สบายเอา” พอได้สติก็ตะโกนเรียกอีกคนที่มัวแต่กระโดดโลดเต้นอยู่กลางสนามเป็นการกลบเกลื่อนอาการร้อนฉ่าที่กำลังเกิดขึ้นบนสองแก้ม



ทำไมเขาจะต้องเขินด้วยเล่า เด็กนั่นมันก็แค่เพ้อเจ้อเหมือนทุกทีนั่นแหละ!

.........
...............


พอขึ้นมาบนห้องแล้วเขาก็จัดการไล่ให้เด็กตัวสูงนี่ไปอาบน้ำหลังจากที่ไปตะลุยคลุกดินโคลนกับเพื่อนๆ ตั้งแต่เช้า ส่วนตัวเองก็มาเตรียมข้าวเช้าไว้ให้อีกคนบนโต๊ะจนเสร็จพอดีกับเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก


“มากินข้าวซะนะ แล้วถ้าจะออกไปเล่นอีกละก็ไม่ต้องออกไปข้างนอกแล้วนะแดดเริ่มแรงเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เขาเอ่ยกำชับพลางนั่งมองเด็กในการดูแลตักข้าวเข้าปากไปเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จากอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ เพราะเขาเคยสอนว่าระหว่างกินข้ามห้ามพูดเดี๋ยวข้าวจะติดคอ


“เค้าอิ่มแล้วอ่าาา ออกไปเล่นต่อได้ม้ายยย~


“เดี๋ยวค่อยไปสิ รอให้ของในท้องมันย่อยก่อนไม่ได้หรือไง หืม?” มือบางเช็ดเศษข้าวที่ติดมุมปากออกให้ จุนฮงนั่งเบิกตากว้าง หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่คนตัวบางทำอะไรแบบนี้ให้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้อ่า


“หมูแจ~ ช่วงนี้หมาจูรู้สึกแปลกๆ” ใบหน้าคมของเด็กหนุ่มงอง่ำราวกับกำลังลังเล


“รู้สึกอะไรเหรอ?”


“เวลาเค้าอยู่ใกล้คนๆ นึง ข้างในนี้มันเต้นแรงมากเลย” นิ้วมือยาวจิ้มไปที่อกด้านซ้าย ซึ่งคุณหมอหนุ่มก็คิดตามได้ไม่ยาก หัวใจสินะ


“แล้วเป็นบ่อยมั้ยล่ะ?”


“จูนงไม่รู้ว่าอาการที่ข้างในนี้มันเต้นแรงมันเป็นเพราะอะรายอ่าาา หมูแจรู้มั้ยว่าเค้าเป็นอะราย?


“นายกำลังมีความรักน่ะสิ”


“ความรักหร๋อ?”


“ใช่ เพราะไม่มีใครหัวใจเต้นแรงพร่ำเพรื่อนอกจากเวลา ตื่นเต้น หวาดกลัว ออกกำลังกาย หรือได้เจอคนที่ชอบหรอกนะ” รอยยิ้มละมุนถูกส่งไปให้เด็กร่างสูงอีกครั้ง นี่ถือว่าเป็นสัญญาณดีนะที่ผู้ป่วยเริ่มมีความรู้สึกใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกเหนือจากอาการที่เป็นอยู่แล้วน่ะ แถมพักหลังๆ จุนฮงก็มีท่าทางที่ใกล้เคียงกับคนปกติอยู่บ่อยๆ เขาควรจะดีใจสินะที่เจ้าเด็กนี่จะได้ออกไปใช้ชีวิตแบบคนปกติได้แล้วน่ะ...



...แต่ไม่ทำไมข้างในใจมันรู้สึกโหวงแปลกๆ



อาจจะแค่รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปล่ะมั้ง ก็ชีวิตประจำวันเขาตลอดสองปีเกือบสามปีมานี้แทบจะมีเจ้าเด็กจุนฮงวนเวียนให้ปวดหัวอยู่ไม่ขาด แม้จะมีบ้างที่รู้สึกเหนื่อยกับวีรกรรมที่เจ้าตัวชอบก่อไว้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะว่ามันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านเข้ามาในชีวิต...


“แล้วมันมียารักษาให้หายป่ะ?” ถามอย่างใสซื่อ ร่างเล็กได้แต่คิดอยู่ในใจว่าจะอธิบายอย่างไรให้คนแบบจุนฮงเข้าใจง่ายๆ กัน เขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักเหมือนกันเนี่ยสิ


“มันก็อาจจะหายนะถ้านายได้สมหวังกับคนๆ นั้นที่นายรู้สึกใจเต้นแรงด้วยน่ะ” ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน ก็ยาที่รักษาอาการทางความรักน่ะมันไม่มีหรอกนะนอกจากคนสำคัญที่เจ้าเด็กนี่มันรู้สึกดีๆ ด้วยนั่นแหละที่เป็นตัวยาสำคัญ ไม่ยักจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้คนบ้าก็รู้จักรักใครเป็น สงสัยใกล้จะหายแล้วล่ะมั้ง คิกๆ..


“สมหวังคืออาไร?”
                                                 

“ก็อาการที่นายกำลังเป็นอยู่เนี่ย.. เขาเรียกว่าคนมีความรัก นายคงไปชอบใครคนหนึ่งเข้าแล้วถ้าคนๆ นั้นเขารู้สึกแบบเดียวกันกับนายนั่นก็แสดงว่าเขาชอบนายเหมือนกันไง นั่นแหละถึงเรียกว่าสมหวัง”


“แล้วนี่นายรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนคนไหนเหรอ บอกหมอได้มั้ย?” ยองแจถามอย่างตื่นเต้น จุนฮงมีท่าทีเขินอายเล็กน้อยซึ่งร่างเล็กมองว่ามันน่าเอ็นดูมากกว่า...



...แต่ไม่รู้สิ



ก็แค่อยากรู้ว่าคนไข้ในการดูแลส่วนตัวของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเท่านั้นแหละ ไม่แปลกนี่ที่หมออย่างเขาจะถามสารทุกข์สุขดิบของผู้ป่วย จริงมั้ย?


ร่างสูงลุกจากเก้าอี้ที่เคยนั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วก่อนจะค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้คุณหมอร่างเล็ก ใบหน้าคมโน้มลงข้างใบหูบาง กระซิบคำตอบที่อีกคนต้องการ ยูยองแจรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ...


ผมเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ยองแจ....แค่คนเดียว" เสียงทุ้มแผ่วเบาข้างใบหูแต่ดังกึกก้องไปทั้งหัวใจ....



สับสน....



...ตอนนี้ยูยองแจกำลังสับสน



รู้ว่าความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่จำกัดเพศ ฐานะ หรือแค่คนปกติเท่านั้น...นั่นเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจและยอมรับมาตลอด



เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง กับ....เจ้าเด็กนั้น



ยองแจไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกดีๆ กับคนตรงหน้านี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นเพราะความผูกพัน คุ้นเคย หรืออาจจะรู้สึกรักตั้งแต่แรก...


บางทีที่จุนฮงรู้สึกแบบนั้นอาจเป็นเพราะเขาเป็นคนคุ้นเคยมากกว่าล่ะมั้ง เพราะเขาเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าถึงเด็กคนนี้ได้มากที่สุดไม่แปลกที่จุนฮงอาจจะรู้สึกสนิทใจกับเขามากกว่านายแพทย์คนอื่นๆ



ยังไม่อยากเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้หรอกนะ...



แล้วความรู้สึกเมื่อยามที่จุนฮงกระซิบตอบ..ทำไมเขาถึงได้คิดว่านั่นไม่ใช่หมาจูของเขากันนะ..



มันราวกับ...คนละคน?



“ฮ่าๆๆ นายนี่เพ้อใหญ่แล้วนะ ไม่กล้าบอกว่าใครก็ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้นายพร้อมก็บอกฉันได้ตลอดนะหมอยินดีรับฟัง” พูดแล้วก็ยิ้มเหมือนอย่างปกติที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ มือบางเปลี่ยนมาสนใจกับการเก็บจานที่เด็กร่างสูงทานไว้เมื่อไม่นานมานี้แทน


“แต่เค้าไม่ได้พูดเล่นน้าาา จูนงรู้สึกแบบนั้นกับหมูแจจริงๆ นะ! คุณหมอยองแจไม่รักเค้าเลยหรอ” ร่างสูงของจุนฮงเบะปากเหมือนเด็กเวลาถูกผู้ใหญ่ขัดใจ ร่างเล็กได้แต่ยิ้มกับท่าทางไร้เดียงสานั่นก่อนจะเอ่ยตอบ...


“รักสิ อยู่ด้วยกันมาตั้งนานคงรู้สึกไม่ต่างกันหรอก...ถ้านายหายเร็วๆ ก็ดีสินะ..” เหมือนจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า


“ยองแจพูดว่าอะไรนะฮะเค้าไม่ค่อยได้ยินเยย”


“อ้อ! ไม่มีอะไรหรอก งั้นเดี๋ยวฉันจะเอาของพวกนี้ออกไปวางไว้หน้าห้องให้แม่บ้านเอาไปเก็บนะ ส่วนนายจะออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ก็ได้ ป่านนี้พวกนั้นคงรอราชาชเวผู้ยิ่งใหญ่กันหมดแล้วมั้ง ฮะๆ”


ร่างเล็กหัวเราะแห้งๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแทนก่อนจะหมุนตัวเตรียมออกไปจัดการเรื่องที่ว่าแต่ก้าวขาได้ยังไม่ถึงก้าวก็รู้สึกถึงแรงหนึ่งที่โถมเข้ามาจากทางด้านหลังพร้อมกับอ้อมแขนแกร่งที่ดึงร่างของเขาเข้าไปแนบอกจนแผ่นหลังบางรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายของร่างที่ซ้อนอยู่เบื้องหลัง...


“อ..เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าจุนฮง?” อยู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียดื้อๆ สองข้างแก้มร้อนฉ่า ยังดีที่เจ้าเด็กนี่มันเอาหน้าซบไว้ที่บ่าไม่อย่างนั้นคงได้เห็นใบหน้าเขาที่ขึ้นสีมากแน่ๆ


“ถ้าผม...”


“...?...”


“ถ้าผมหาย.....”


“...........”


“ยองแจจะรักผมมั้ย...”


เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ร่างเล็กเอ่นตอบเขาน่ะ... ด้วยห้องพักที่ไม่มีแม้แต่เสียงจากลมแบบนี้มีเหรอที่เขาจะไม่ได้ยิน....



...แต่เพื่อความแน่ใจ


เสียงตอบอู้อี้เพราะใบหน้าที่ซบอยู่บนไหล่แต่ระยะที่ใกล้ประชิดหูขนาดนี้ยองแจได้ยินมันชัดเจน



...จะให้เขาตอบว่ายังไงละ?


คำถามที่เหมือนจะง่ายแต่พอให้เอ่ยคำตอบมันกลับรู้สึกว่าริมฝีปากมันพาลจะหนักขึ้นเสียดื้อๆ แล้วน้ำเสียงที่ใช้นั่นอีก มันราวกับว่านี่ไม่ใช่เจ้าเด็กบ้าจุนฮงที่เขารู้จัก...



แต่เป็น ชเว จุนฮง คนเดิมเมื่อ 3 ปีก่อนนั่น...



ตั้งแต่เมื่อไหร่?



จากประสบการณ์การทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้มาเกือบ 4 ปี เจอคนบ้ามาก็หลายเคส ผู้ป่วยที่มาแล้วหายจากอาการทางประสาทกลับไปก็มี แล้วทุกรายเขาจะคอยเฝ้าสังเกตแล้วจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่กับคนร่างสูงคนนี้เขาแทบจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยนอกจากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาที่จุนฮงขอคำปรึกษาจากเขา ถ้าจะบอกว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะมีความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นมาในชีวิตนั่นมันก็ออกจะผิดปกติไปสักหน่อยนะ มีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นบ้างมันก็ดีแต่มันก็เร็วไปนะที่จะกลับมาเป็นปกติภายในครึ่งชั่วโมง?



ออกจะปาฏิหาริย์ไปหน่อยมั้ง...



“จุนฮง..”


“.......”


“ตั้งแต่เมื่อไหร่..”


“??”


“นายกลับมาเป็นปกติตั้งแต่เมื่อไหร่?”


ยองแจหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูง ถาดอาหารที่ตั้งใจจะเอาไปวางหน้าห้องจำต้องวางลงกับโต๊ะตัวเดิมก่อนจะสบตากับจุนฮงตรงๆ อย่างต้องการคำตอบ


“พี่พูดอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”


“อย่ามาไขสือจุนฮง ถ้าเป็นเจ้าเด็กบ้าจุนฮงเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็จะต้องแทนตัวเองว่า เค้า ไม่ก็ หมาจู และแทนตัวฉันว่า หมูแจ นะ” ร่างสูงสบตาคนตัวเล็กตอบอย่างไม่มีใครยอมใครก่อนที่จุนฮงจะถอนหายใจยาวอย่างจำนน


“ครับ ผมเอง ชเว จุนฮง คนเดิมเมื่อ 3 ปีที่แล้วนั่นน่ะ”


“นายจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


“ประมาณสองเดือนก่อน...ผมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ใจผมเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เจอหน้าพี่ มีความสุขทุกครั้งที่พี่เล่นกับผม แต่ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไรและไม่กล้าที่จะถามเรื่องนี้กับพี่เลยไปปรึกษาพี่ฮิมชาน...เขาบอกว่าผมอาจจะกำลังชอบพี่อยู่ก็ได้”


พอได้ยินพี่คนสนิทเข้ามาในหู ร่างเล็กก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้าเสียดื้อๆ ใครอีกคนที่ป่านนี้คงอยู่กับคนไข้พิเศษของตัวเองที่พักหลังๆ ชอบไล่ให้เขาต้องมาเผชิญกับเหล่าเด็กน้อยผู้น่ารัก(?)เพียงลำพังตลอดที่แท้มันก็รู้เรื่องอยู่แล้วสินะ



คิม ฮิมชาน! งานนี้มียาว!



“อย่าโกรธพี่ฮิมชานเลยนะครับ” เหมือนจะรู้ว่ายองแจคิดอะไรอยู่ ร่างสูงจึงเอ่ยขัดขึ้นมา ร่างเล็กได้ยินก็หันมาทำตาเขียวใส่


“นายก็เหมือนกัน! หายแล้วทำไมไม่บอก ปล่อยให้ฉันต้องมาคอยตามคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อยๆ ทำไม”


“ผมก็แค่อยากให้ยองแจดูแลผมตลอดไปนี่ครับ”


“ไม่ถามความสมัครใจของฉันหน่อยเหรอ?”


“ที่จริงแล้ว...ผมก็แค่อยากรู้ว่าตลอดเวลายองแจคิดยังไงกับผมบ้าง ด้วยความรู้สึกของคนปกติน่ะ” จุนฮงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวเล็กอย่างต้องการคำตอบ ร่างเล็กรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะแก้มใสพลันขึ้นสีระเรื่อ


“ฉ..ฉันๆ ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย! เอาหน้านายออกไปห่างๆ ฉันเลยนะ!” มือบางดันใบหน้าคมออกห่างแต่ก็ไม่พ้นวงแขนของร่างสูงที่เอื้อมมาเกี่ยวเอวบางไว้แนบลำตัวจนแทบไม่เหลือช่องว่าง...


“เหรอครับ งั้นที่บอกว่า รัก และ รู้สึกไม่ต่างกัน นี่ผมคงหูฝาดไปเองสินะ” จุนฮงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ใบหน้าเรียวขึ้นสีมากกว่าเดิม นี่มันรู้ตั้งแต่แรกแล้วยังจะแกล้งเขาอีกนะ! ตอนนี้ชักอยากตีหัวไอ้เด็กนี่ให้กลับไปเอ๋อๆ เหมือนเดิมเสียแล้ว


“นี่นายหลอกฉันอีกแล้วสินะ”


“เปล่า...ผมไม่ได้หลอก....แต่แค่อยากแน่ใจว่ายองแจก็รักผมไม่ต่างจากที่ผมรักคุณ...


ดวงตาคมของร่างสูงทอดมองคนในอ้อมกอดอย่างมีความหมาย เขาแค่อยากได้คำตอบว่าคนที่เขารักก็รู้สึกไม่ต่างกัน ขอแค่คนตรงหน้านี้ไม่ปฏิเสธ...



เพราะเขารักร่างนี้มากเหลือเกิน....



ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...ที่ใบหน้าของคนทั้งสองค่อยๆ ลดระยะห่างลง จากสิบเซ็น เป็นห้าเซ็น..สองเซ็น....และแนบสนิทจนเหลือศูนย์..


รสสัมผัสที่ไม่เคยได้รับจากกันและกัน เวลานี้กลับเติมเต็มซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ร่างสองร่างที่แนบสนิทราวกับจะไม่แยกจากกันแม้เสี้ยววินาที อุณหภูมิภายนอกห้องที่ว่าร้อนของฤดูกาลยังไม่เท่าความร้อนภายในของสองร่างที่กอดเกี่ยวกันบนเตียงสีขาว


คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน...

กว่าจะได้ “สมหวัง” กันดั่งใจ ก็ผ่านอะไรมาเนิ่นนาน...

เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าอีกคนจะอยู่ในสถานะอะไร ขอแค่สองใจที่ตรงกัน

ไม่ว่าอุปสรรคจะคืออะไร ยังไงคนทั้งสองก็ต้องได้รักกัน.....



ความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่จำกัดเพศ ฐานะ หรือแค่คนปกติเท่านั้น...นั่นเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจและยอมรับมาตลอด.....



"คำว่ารักจากคนบ้าอย่างผม พี่จะรับไว้ได้ไหมครับ..."

"บางทีผมอยากจะเป็นคนบ้าให้พี่ดูแลตลอดไปจัง...."

“จากนี้ไป พี่จะเป็นของผม....แค่คนเดียว”





-FIN-
.
.
.
.
.
[Epilogue]


“นั่นคุณแม่บ้านกำลังจะไปเก็บถาดอาหารตั้งแต่ห้อง B1090 ถึง B1096 ใช่มั้ยครับ?”


ร่างของนายแพทย์หนุ่มวิ่งมาขวางทางรถเก็บจานที่หญิงสาวร่างท้วมกำลังเข็นอยู่จนเธอต้องอุทานด้วยความตกใจแต่ต้องรีบปิดปากฉับเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบ


“ใช่จ้ะ คุณฮิมชานมีอะไรให้ป้าช่วยหรือเปล่าคะ?”


“อ๋อ เปล่าครับ แค่จะมาบอกว่าห้องโซนนี้มีคนมาเก็บแล้วน่ะครับ วันนี้ป้าไปพักเถอะ^_^” ฮิมชานยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง หญิงสูงวัยพยักหน้ารับอย่างงงๆ แต่ก็ยอมเข็นรถกลับไปแต่โดยดี


หน้าที่นี้มีแค่เราทำคนเดียวนี่นา..?


“ขอบคุณค้าบบบ(^____^)/


B1096…



ผมว่าตอนนี้อย่าเพิ่งผ่านดีกว่านะครับผมล่ะกลัวว่าแม่ยกคู่นี้จะฟินกันจนเลือดหมดตัวไปเสียก่อน คึคึคึ...






END



แล้วหมาจูกับหมูแจก็อยู่ด้วยกันตลอดไปปป  อิ___อิ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านฟิคป่วงๆ เรื่องนี้นะคะ >___<