Fanfiction [GOT7]
LOVE ME LIKE
Chapter 01 “Meet”
Couple: Wang Jackson x Mark Tuan (JARK)
Rate: PG-15
LOVE ME LIKE
Chapter 01 “Meet”
Couple: Wang Jackson x Mark Tuan (JARK)
Rate: PG-15
ตามทางเดินสีขาวสะอาดตาทอดยาวไปตามแนวระเบียงของอาคารผู้ป่วยในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงโซลมีร่างๆ
หนึ่งกำลังเดินอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เจ้าของร่างนั้นแวะทักทายผู้ป่วยที่ออกมานั่งเล่นรับอากาศสดใสในยามเช้าไปตลอดทาง
ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดีทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้ป่วยหลายๆ คนในแผนกนี้อยู่ไม่น้อย
เสียงใบไม่เสียดสีกันยามมีลมพัดผ่านกับแสงแดดอ่อนๆ
ไม่แรงมากทำให้บรรยากาศดูเป็นใจชวนให้นอนยิ่งนักถ้าไม่ติดว่าตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เขาคงจะวิ่งกลับไปหาผ้าห่มหนาๆ
ในห้องพักอย่างไม่รีรอ
จังหวะการก้าวขาที่สม่ำเสมอของชายรูปร่างโปร่งบางกำลังเดินตรงไปยังจุดหมายซึ่งก็คือห้องทำงานแผนกอายุรกรรมโดยในมือของชายหนุ่มนั้นมีแฟ้มรายงานผลการตรวจร่างกายของคนไข้อยู่หนึ่งเล่ม
วันนี้ ‘มาร์ค ต้วน’ หรือ ‘ต้วน อี้เอิน’
ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ในภาคเช้าเหมือนอย่างเช่นทุกวันคือตรวจสภาพร่างกายของผู้ป่วยและส่งบันทึกให้กับหัวหน้าแผนก
ส่วนในรอบบ่ายกับรอบดึกนั้นจะเป็นนักศึกษาคนอื่นที่รับช่วงต่ออีกที
‘ต้วน
อี้เอิน’ นักศึกษาพยาบาล
ชั้นปีที่3 กำลังอยู่ในช่วงฝึกงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเครือของมหาวิทยาลัย โดยที่มาร์คนั้นประจำอยู่แผนกอายุรกรรมทำงานคอยช่วยเหลือแพทย์อีกที
ในทุกๆ วันจะมีผู้ป่วยแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสายตั้งแต่วัยกลางคนวัยชราตลอดจนนักศึกษาที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคประจำตัวก็มีมาไม่ขาด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรียนคณะนี้มันเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดนี่ขนาดแค่ฝึกงานถ้าจบออกไปจริงๆ
เขาคงได้กลายเป็นผู้ป่วยเสียเองแต่ถ้ารักในวิชาชีพนี้มันคงต้องใช้แต่คำว่าอดทนเข้าสู้
เมื่อมาถึงที่หมายมือเรียวจึงค่อยๆ
ผลักบานประตูออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปด้านในปล่อยให้บานไม้เคลือบสีขาวนั่นดีดตัวปิดเองโดยอัตโนมัติ
ภายในห้องไม่ได้ร้างคนอย่างที่คิดไว้แต่ยังพอมีเพื่อนร่วมสายงานอีกสองสามคนที่ยังอยู่ในห้องนี้บ้างคาดว่าคงจะมาส่งผลตรวจเหมือนกันร่างบางรีบเดินตรงไปที่โต๊ะของหัวหน้าแผนกและวางแฟ้มลงบนบานกระจกใสของโต๊ะที่ไร้ซึ่งวี่แววเจ้าของคาดว่าเจ้าตัวคงจะมีเวรตอนเช้า
แรงสะกิดที่แขนเรียกให้เจ้าของร่างหันไปมองอย่างง่ายดาย
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถามส่งไปให้อีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทรุ่นน้องส่งตรงจากเมืองไทยอย่าง
‘แบมแบม’
‘แบมแบม’
หรือชื่อจริงในภาษาไทย ‘กันต์พิมุก ภูวกุล’
อายุน้อยกว่ามาร์คหนึ่งปีแต่ที่มาร์คบอกไปเมื่อครู่ว่าเป็นเพื่อนน่ะ
แท้จริงแล้วมาร์คในตอนนี้ต้องอยู่ปี4แล้วด้วยซ้ำแต่เพราะมีช่วงหนึ่งที่มาร์คต้องบินกลับไปจัดการกับธุระส่วนตัวของทางบ้านที่แอลเอทำให้เขาต้องดรอปเรียนไปหนึ่งปีและกลับมาที่เกาหลีอีกครั้งก็กลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับแบมแบมอย่างที่เห็น
"พี่มาร์คผมโทรไปตั้งห้ารอบก็ไม่ยอมรับสาย ลืมมือถือไว้ที่หอเหรอฮะ?"
มาร์คส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนที่มือเรียวจะล้วงเอาสมาร์ทโฟนเครื่องบางจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดดูที่หน้าล็อคสกรีนปรากฏเป็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายจากแบมแบมทั้งสิ้น
มาร์คเอามันเก็บเข้าที่เดิมอีกครั้งก่อนจะหันมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับรุ่นน้องคนสนิท
"โทษที พอดีพี่ปิดเสียงน่ะลืมเปิดสั่นด้วย
มีอะไรด่วนหรือเปล่า?"
"ผมกะว่าถ้ามาที่ห้องนี้แล้วยังไม่เจอพี่อีกนี่ผมคงให้พี่ขาดเรียนไปแล้ว
ติดต่อยากเสียเหลือเกิน”
ร่างเล็กอดที่จะเอ่ยค่อนแคะคนที่แก่กว่าปีไม่ได้ด้วยความที่สนิทกันมากและไม่ค่อยถือสาการพูดจาทำนองนี้ของแบมแบมมาร์คเลยชินเสียแล้วล่ะ
อันตัวคุณกันต์พิมุกก็เป็นห่วงแทบตายเพราะรู้ดีว่ามาร์คไม่ค่อยได้เข้าสังคมโซเชียลอย่างเฟซบุ๊คเท่าไหร่เลยอาจจะทำให้พลาดข่าวจากเพื่อนในกลุ่มคณะได้แต่พอจะโทรหาเจ้าตัวก็ดันไม่ยอมรับสายเสียนี่
"วันนี้อาจารย์จินยองนัดเข้าคลาสตอนบ่ายโมงเห็นว่าจะคุยเรื่องฝึกงานชุมชนอ่ะพี่ อย่าลืมล่ะ"
แบมแบมเอ่ยย้ำกับพี่ตัวบางก่อนจะขอตัวแยกออกไปทำงานของตัวเองต่อ มาร์คกับเพื่อนฝึกงานอยู่คนละแผนกกันโดยแบมแบมทำอยู่แผนกผู้ป่วยนอก ในเวลางานจะได้เจอกันทีก็เฉพาะเวลาพักเที่ยงกับที่หอเท่านั้นแหละเพราะต่างคนต่างก็มีภาระติดพันด้วยกันทั้งคู่
"งั้นเจอกันที่หน้าคณะนะ!"
ร่างบางตะโกนไล่หลังไปก่อนที่แบมแบมจะทันเดินออกจากห้องและคิดว่ารุ่นน้องตัวเองคงได้ยินข้อความนั้นแล้วมาร์คถึงได้เลิกสนใจและกลับไปทำงานของตนเองบ้างเสียที
......
……….
"รอนานมั้ยแบม!?"
มาร์ครวบรวมแรงที่มีเหลืออยู่น้อยนิดถามออกไปพลางกอบโกยเอาอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตายจากการวิ่งมาตั้งแต่ตึกที่เป็นส่วนของโรงพยาบาลมายังตึกคณะที่กินระยะทางห่างกันพอสมควร
"ใจเย็นนะพี่ ค่อยๆ หายใจนะเดี๋ยวช็อคตายขึ้นมาผมขี้เกียจเก็บศพ"
เกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่ติดตรงประโยคหลังล่ะก็นะ
มาร์คมองค้อนใส่อีกคนตาเขียวจนแบมแบมยกมือยอมแพ้แต่โดยดี
"โอเคๆ ผมไม่แกล้งพี่แล้วอย่างเพิ่งกัดผมนะ
=..="
"แบมแบม!!"
แบมแบมหัวเราะร่ากับการที่ได้แกล้งพี่ชายหน้าสวยนี่เหลือเกิน เขาน่ะชอบที่จะเห็นใบหน้าเหวี่ยงๆ ของมาร์คที่แบมแบมเคยลงความเห็นว่ามันดู น่ารัก? แล้วก็ได้คำสรรเสริญบรรพบุรุษไปตามระเบียบ
"ฮ่าๆๆ โอเคๆ ไม่ขำแล้วก็ได้
ว่าแต่ทำไมพี่ถึงวิ่งมาล่ะแล้วจักรยานของพี่ไปไหน?"
"อ้อ เมื่อตอนเที่ยงๆ ยูคยอมมาขอยืมไปทำธุระอะไรสักอย่างที่สำนักงานอธิการบดีอ่ะ พี่ขี้เกียจรอเลยวิ่งมาก่อน"
"โอ๊ย! หมอนั่นมันไม่รู้หรือไงว่าพี่ต้องใช้มาเรียนต่อเนี่ย! ไอ้เด็กนี่บ้านก็รวยไม่มีปัญญาซื้อจักรยานขี่เองรึไง
=*= "
แบมแบมเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม ‘ยูคยอม’ ที่กว่าหรือก็คือ ‘คิมยูคยอม’ หลานอธิการบดีที่เขาโคตรไม่ชอบขี้หน้า เรียนอยู่ปี2 คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ที่ตึกคณะมันอยู่ข้างๆ
กันนี่เอง พอถึงเวลาพักกลางวันทีไรมันโคตรเป็นเวลาที่น่าเบื่อสิ้นดีเพราะแบมแบมจะได้เห็นไอ้เด็กโย่งนี่มานั่งเสนอหน้ากินข้าวกับพวกเขาเป็นประจำ
ถามว่ามันมาทำไมจะเป็นเหตุผลใดไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันกำลังจีบมาร์คอยู่น่ะ
ไอ้หมอหมาหน้าเหมือนหมีคิดจะเคลมกระรอก(?)แบมไม่ยอมหรอก!
"เอาน่าๆ ช่างมันเถอะ รีบเข้าห้องดีกว่าเดี๋ยวอาจารย์จินยองปิดห้องแล้วจะซวยเอานะ"
ร่างบางเอ่ยตัดบทพลางดันหลังของอีกคนให้เดินเข้าไปในตึกเรียนพร้อมๆ
กับเสียงก่นด่าของแบมแบมที่มีต่อบุคคลที่สามดังไปตลอดทาง..
.........
…………
ภายในคลาสเรียนขนาดไม่ใหญ่มากนักศึกษาต่างค่อยๆ
พากันทยอยมาจับจองโต๊ะว่างภายในห้อง ในระหว่างที่รออาจารย์เข้าสอนนั้นสิ่งที่วัยรุ่นทั่วไปเลือกที่จะทำเพื่อฆ่าเวลาคงหนีไม่พ้นจับกลุ่มคุยกันหรือไม่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาท่องโลกโซเชียลและมาร์คกับแบมแบมก็เป็นในหนึ่งไม่กี่คนนั้นเช่นกัน
"นายว่าออกงานชุมชนเราจะถูกส่งไปที่ไหนกันบ้างอ่ะแบม T T"
มาร์คเอ่ยถามคนที่กำลังนั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ข้างตัวด้วยน้ำเสียงติดกังวลนิดหน่อย
แบมแบมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามแต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากหน้าจอนั้นจนมาร์คต้องเอี้ยวตัวไปดูบ้างว่าในนั้นมันมีอะไรน่าสนใจนักหนาแต่แบมแบมก็ดันหันโทรศัพท์หนีเสียนี่
"อะไรอ่าแบมเดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับพี่อ่อ?"
"ความลับบ้าบออะไรกันล่ะพี่มาร์ค อ้ะ! อาจารย์มาแล้ว!"
แบมแบมรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเป็นจังหวะพอดีกับที่อาจารย์เดินเข้าห้องมาจริงๆ
ทำให้รอดตัวไป(?) มาร์คได้แต่ชี้หน้าอย่างคาดโทษแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
ถ้าแบมแบมมันอยากเล่าเดี๋ยวมันก็เปิดปากออกมาเองนั่นแหละ
ใบหน้าของอาจารย์หนุ่มหันมายิ้มแย้มให้ลูกศิษย์เหมือนอย่างทุกทีก่อนจะเดินมาประจำตรงตำแหน่งโต๊ะหน้าห้องในมือมีเอกสารอยู่แค่สองสามใบที่พอการันตีได้แล้วว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอนแน่นอน เพราะถ้าเป็นปกติอาจารย์ปาร์คหรือ ‘ปาร์ค จินยอง’ จะพกหนังสือเล่มหนาๆ
ที่ใช้สอน มาด้วยเสมอ
“แหม่..
พอรู้ว่าไม่มีสอนล่ะยิ้มหน้าบานกันเชียวนะ”
อาจารย์ร่างบางหน้าชั้นเอ่ยแซวบรรดาลูกศิษย์ที่พอไม่เห็นเขาถือหนังสือเตรียมสอนมาก็นั่งหน้าชื่นตาบานแท็กมือกันอย่างดีอกดีใจ
เห็นหน้ากันมาตั้งสามปีแล้วเด็กพวกนี้มันรู้ทันเขาไปเสียหมดนั่นแหละ
“แต่ถึงไม่สอนวันนี้อาทิตย์หน้าพวกเธอก็ต้องเริ่มออกงานชุมชนอยู่ดี และเรื่องน่าเสียใจอีกอย่างหนึ่งคือพวกเธออาจจะถูกจับลงคนละพื้นที่ในต่างจังหวัด”
เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นทันทีที่คนเป็นอาจารย์พูดจบแล้วก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก
โดยปกติทุกๆ ปี นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่สามทุกคนนอกจากจะต้องมีการขึ้นวอร์ดแล้วยังต้องมีการลงฝึกงานนอกสถานที่หรือออกงานชุมชนด้วย
และเป็นที่โชคดีที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองหลวงทำให้ตอนฝึกงานนักศึกษาเหล่านี้จะถูกส่งไปอยู่ตามคลินิกต่างๆ
แค่ภายในโซล แต่แผนการศึกษาฉบับใหม่ในปีนี้ได้ออกมาว่าให้ทำการกระจายนักศึกษาแพทย์
พยาบาล ที่กำลังศึกษาอยู่ในเมืองหลวงไปประจำการในต่างจังหวัดแทนเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งเด็กในพื้นที่และต่างสถานที่ได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากยิ่งขึ้น
“เอาล่ะๆ
อาจารย์รู้ว่านักศึกษาหลายคนที่มีบ้านอยู่ในโซลคงไม่อยากที่จะห่างครอบครัวกันเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อทางคณบดีของคณะเราท่านลงนโยบายมาให้เป็นแบบนี้อาจารย์อยากให้พวกเธอมองว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้เราได้พบเห็นอะไรใหม่ๆ
มากขึ้น
เอาความรู้ที่เราได้จากที่นี่ไปช่วยเหลือคนที่เขาด้อยโอกาสดีกว่ามองว่ามันเป็นการพลัดพรากจากบ้านเกิดดีกว่านะเพราะในอนาคตตอนทำงานเราอาจถูกส่งไปเป็นพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งไหนบ้างเราก็ยังไม่รู้”
อาจารย์ปาร์คยิ้มให้กับศิษย์อีกครั้งหลังจากพูดจบ
เขาเคยผ่านจุดๆ นี้มาแล้วเลยทำให้เข้าใจความรู้สึกของเด็กๆ พวกนี้เป็นอย่างดี
สมัยที่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีเดียวกันนี้เขาก็เคยถูกส่งตัวไปทำงานที่ปูซานทั้งที่ตัวเองก็เรียนอยู่ในโซล
มีครอบครัวอยู่ที่โซล แต่พออยู่ไปนานๆ ก็รู้สึกว่ามันสนุกดีจนเขาสอบเข้าเป็นอาจารย์ของที่นี่ได้จึงได้กลับมาทำงานในเมืองหลวงอีกครั้ง
“ส่วนเรื่องที่ใครจะได้ไปลงที่ใดบ้างนั้นอาจารย์ได้ทำการสุ่มเอาไว้แล้ว
ถ้าใครโชคดีก็อาจได้อยู่ในโซลแต่เท่าที่ดูจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เหลือก็แยกกันไปตามเมืองต่างๆ นะเพราะโรงพยาบาลในโซลปีนี้เขารับนักศึกษาเข้าฝึกงานจำกัด”
จากนั้นก็เป็นการอ่านรายชื่อของนักศึกษาและเมืองที่แต่ละคนจะได้ไปประจำอยู่ 1ปีเต็ม มีทั้งเสียงแสดงความดีใจและผิดหวังนิดหน่อยให้ได้ยินเป็นพักๆ
เมื่อรายชื่อไล่มาถึงตนเอง
“นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะแบม?”
มาร์คหันไปมองที่นั่งข้างๆ
ก็เห็นเพื่อนตัวเองกำลังพนมมือไว้กลางอกแล้วบ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียวเป็นเสียงงึมงำที่เขาแปลไม่ออกอยู่ข้างหูจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“กำลังภาวนาอยู่ขออย่าได้โดนส่งไปที่ไหนไกลๆ
หรือที่ทุรกันดารเลยเถ๊อะ แค่ที่ปูซานก็ยังดี”
“ไปฝึกงานไม่ได้ไปออกรบหรือไปฝึกเอาชีวิตรอดที่กลางป่าเสียหน่อย
=_= ”
“คล้ายกัน ( =3=)/ ”
“= =;;”
“คุณกันต์พิมุก”
เสียงเรียกชื่อของร่างเล็กดังขึ้นทำให้เขาละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วหันมาขานรับอาจารย์ข้างหน้าชั้นทันที
“ครับ!”
“อา...
นายเป็นคนแรกที่มีรายชื่ออยู่ในโซลนะ”
“เยสสสสสส! ผมได้อยู่ที่โซลแหละพี่มาร์คคคค!”
แบมแบมหันไปเขย่าตัวคนเป็นพี่ด้วยความดีใจจนร่างบางคอแทบเคล็ด
“โอยยยย
รู้แล้วน่าก็นั่งอยู่ด้วยกันเนี่ยยยย! เลิกเขย่าสักทีคอพี่จะหลุดออกจากบ่าแล้ว! =A=”
“โทษๆ พี่ ผมดีใจมากไปหน่อย”
พูดขอโทษเสร็จก็หันไปทำหน้ามีความสุขอยู่กับตัวเองคนเดียว ดีแค่ไหนแล้วที่ตัวเองจะไม่ต้องย้ายไปอยู่อีกเมือง
“ต้วน อี้เอิน”
“ครับๆ!!”
ร่างบางดีดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากคนหน้าชั้นเรียน
หัวใจเต้นแรงด้วยความลุ้นระทึกเต็มที่ ขอให้ได้ที่เดียวกับแบมแบมด้วยเถอะ สาธุ!
“มาร์คนายได้ไปอยู่ที่มกโพนะ”
โอ... เอ็ม...
จี......
…..
……….
“เฮ้พี่มาร์ค! ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะพี่ มกโพมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่พี่ ผมยังอยากไปเที่ยวที่นั่นบ้างเลยเห็นเขาว่าอาหารทะเลที่นั่นอร่อยมาก”
แบมแบมพูดปลอบใจคนที่นั่งตรงข้ามเมื่อเห็นว่ามาร์คมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในระหว่างรออาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ
ตอนนี้พวกเขาสองคนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านคนเมืองนี่แหละ
เมื่อตอนบ่ายหลังจากประกาศแรนด้อมรายชื่อผู้โชคดี(?)ไปแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ต้องช็อคไปตามๆ
กันนั่นก็คือพวกเขาต้องเริ่มฝึกงานในวันจันทร์ที่จะถึงนี้(นี่ก็ปาเข้าไปวันศุกร์แล้ว)นั่นก็หมายความว่าพวกเขามีเวลาเตรียมตัวอีกไม่ถึงสามวันส่วนของมาร์คนั้นได้เริ่มงานวันอังคารเพราะต้องใช้เวลาเดินทางในวันจันทร์
“พี่ก็ไม่ได้ว่าที่นั่นแย่
แต่ที่กำลังรู้สึกคือทำไมถึงมีพี่คนเดียวที่ได้ไปที่ไกลกว่าคนอื่นล่ะ?”
พอได้พูดออกมาริมฝีปากสีสดก็เบะออกอย่างเคยชินเวลามีอะไรไม่ชอบใจ
แบมแบมพยักหน้าอย่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ถ้าเป็นตัวเขาเองก็คงรู้สึกแปลกๆ
เหมือนกันที่อยู่ๆ ต้องโดนดีดไปไกลกว่าคนอื่นๆ ที่ยังได้อยู่ในเมืองที่ถือว่าไม่ไกลจากโซลมากนัก
อย่างเช่น อินชอน กิมโป กวังจู และแดจอน แต่ดูเหมือนคนที่จะได้ไปท่องโลกไกลกว่าคนอื่นถึงทางตอนใต้ของเกาหลีก็มีแต่มาร์คนี่แหละ
“ตั้งแต่ที่พี่มาอยู่เกาหลีคงไม่เคยไปที่นั่นใช่มั้ยล่ะ
คิดเสียว่าไปเที่ยวก็ได้พี่มาร์ค”
ร่างบางพนักหน้ารับพอดีกับอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟจึงได้เริ่มปฏิบัติการคืนสารอาหารสู่กระเพาะผู้หิวโหยทันทีจากนั้นก็มีการพูดคุยบ้างเป็นพักๆ
จนอาหารมื้อนี้หมดลงในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งคู่ตัดสินใจเดินเล่นในห้างกับซื้อของใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อยก่อนจะทำการแยกย้ายกลับหอพักของตัวเอง
“นี่พี่กะเดินทางไปมกโพเช้าวันจันทร์เลยใช่มั้ยฮะ
ให้ผมไปส่งที่สถานีรถไฟมั้ยพี่?”
มาร์คเดินมาส่งน้องชายคนสนิทที่ป้ายรถเมล์และเหมือนแบมแบมจะเพิ่งนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถามออกไป
จะว่าไปก็แอบใจหายเหมือนกันนะที่ในวันถัดไปจะไม่ได้เจอกันแล้วและกว่าจะได้เจอพี่ชายคนนี้อีกทีก็คงอีกสองเดือนถัดไปตอนมาส่งผลรายงานการฝึกงานโน่นเลย (ต้องกลับมารายงานผลทุกๆ สองเดือน)
“ไม่ต้องหรอกแบมพี่ออกเที่ยวเช้าเลยน่ะไม่อยากรบกวนเวลานอนของเด็กขี้เซาแถวนี้
ขอบใจนะ”
มาร์คเอ่ยติดตลกก่อนจะยิ้มขำเบาๆ
เมื่อแบมแบมทำหน้ามุ่ยใส่
แต่มาร์คก็ยังยืนยันว่าไม่ต้องให้ไปส่งอยู่ดีเพราะถึงแบมแบมจะยังคงอยู่ที่โซลแต่ก็ต้องเริ่มงานในวันเดียวกันดังนั้นเขาจึงอยากให้น้องชายเอาเวลาที่ไปส่งเขาที่สถานีรถไฟไปเตรียมตัวฝึกงานจะดีกว่า
“เอาอย่างนั้นเหรอพี่?
แต่พี่ต้องสัญญาก่อนว่าจะโทรหาผมทุกอาทิตย์! สัญญาสิ”
นิ้วก้อยเล็กๆ
ยื่นมาตรงหน้ามาร์ค ร่างบางอมยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกมาเกี่ยวตอบอย่างไม่ลังเล
“อืม สัญญา :)”
…..
……..
…………
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้วมาร์คต้วนได้มายืนอยู่ที่สถานีรถไปมกโพเป็นที่เรียบร้อย
ทันทีที่ขาเรียวยาวภายใต้สกินนี่ยีนสีซีดก้าวออกจากขบวนรถไฟดวงตาเรียวหลังกรอบแว่นกันแดดแบรนด์ดังก็ไล่อ่านรายระเอียดข้อความที่ได้มาจากอาจารย์ปาร์คจินยองทันที
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางคุ้นชินกับการเดินทางในเมืองท่าแห่งนี้เป็นแน่
เมื่อทำการศึกษาแผนที่การเดินทางไปยังที่พักได้แน่ใจแล้วมือเรียวจึงทำการหยิบเป้ใบใหญ่ที่วางพักไว้ก่อนหน้านี้มาสะพายหลังอีกครั้งก่อนจะเริ่มออกเดินทาง
โดยปกติมาร์คเป็นคนพูดไม่เก่งแต่พอเริ่มออกจากสถานีรถไฟมานี้มาร์คดูจะกลายเป็นคนพูดเยอะขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะความที่ไม่รู้จึงทำการถามชาวบ้านแถวนั้นแล้วก็ได้ความคร่าวๆ
ว่าหมู่บ้านที่มาร์คกำลังจะไปนั้นมีรถเมล์ผ่านแต่นานๆ จะมาทีและต้องนั่งรถเข้าไปอีกต่อหนึ่ง
ฟังเท่านี้มาร์คก็เห็นความลำบากลอยมารำไรแล้วแถมกระเพาะเขาในตอนนี้ก็กำลังส่งเสียงประท้วงอย่างหนักจึงได้แต่แกะขนมปังยัดไส้ที่พกติดตัวมาด้วยกินรองท้องไปก่อน
ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้มีรถเมล์ผ่านมาสักคันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินเพราะตอนนี้ก็ใกล้จะบ่ายสองแล้วมาร์คยังไม่อยากถึงที่พักเย็นนักเพราะใจหนึ่งก็กลัวหัวหน้างานที่นั่นจะเป็นห่วงเอาด้วย
เป็นโชคดีของมาร์คที่นั่งรอได้สักพักรถเมล์คันที่กำลังรออยู่ก็ผ่านมาพอดีเมื่อถึงจุดหมายร่างบางจึงทำการจ่ายเงินแล้วก็ได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าป้ายที่เขาลงนั้นมันสุดสายพอดี
จากนั้นต้องทำอะไรต่อนะ?
เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์จินยองได้ให้เบอร์ติดต่อของเจ้าของโรงพยาบาลที่มาร์คกำลังจะไปฝึกงานนั้นไว้ด้วยร่างบางจึงไม่รอช้าที่จะกดโทรหาเจ้าของเบอร์นาม
‘อิม แจบอม’ ทันที
“เอ่อ..
สวัสดีครับ นั่นใช่คุณอิมแจบอมหรือเปล่าฮะ?”
มาร์คเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อยเพราะยังรู้สึกเกร็งๆ
กับคนที่จะมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ของตนเอง
เมื่อปลายสายยืนยันตัวบุคคลชัดเจนใบหน้าสวยจึงเปื้อนรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
“อ่า..ผมต้วนอี้เอินนะครับ
คนที่อาจารย์ปาร์คส่งมาฝึกงานกับคุณ..”
/อ้อ
ฉันทราบแล้วล่ะ ว่าแต่นายถึงไหนแล้วน่ะ? โทษทีนะที่โรงพยาบาลของฉันมันออกจะเดินทางมาลำบากนิดหน่อย
ฮ่าๆ/
ปลายสายพูดแล้วก็หัวเราะอย่างเป็นกันเองเหมือนรู้ว่ามาร์คกำลังเกร็งเวลาพูดสายด้วยกัน
“ก็นิดหน่อยน่ะครับ
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะ..หลง”
มาร์คเกาแก้มแก้เขินพลางสังเกตสิ่งต่างๆ
ที่อยู่รอบตัว ตรงจุดที่เขาอยู่สามารถมองเห็นทะเลและท่าเรือได้อยู่ไกลๆ
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นภูเขา ต้นไม้ แสดงให้เห็นว่าที่นี่ยังคงอุดมสมบูรณ์สุดๆ
และเนื่องจากเวลานี้เพิ่งจะเลยเที่ยงวันมาไม่กี่ชั่วโมงคงจะร้อนมากสำหรับคนที่นี่ผู้คนที่เห็นจึงดูน้อยๆ
ขนาดร่างบางที่มีแว่นกันแดดคอยช่วยกรองแสงอยู่ยังรู้สึกได้เลยว่าถ้าเขาถอดมันออกแสงคงต้องจ้ามากแน่ๆ
พลันดวงตาเรียวสังเกตเห็นถนนเส้นเล็กๆ
เส้นหนึ่งเข้าพอดีจึงยกแผนที่ขึ้นมาดูเพื่อความแน่ใจพร้อมกับถือสายคุยกับแจบอมไปด้วย
“เหมือนผมจะเจอถนนทางเข้าหมู่บ้านคุณแล้วนะครับแต่ผมมีปัญหาตรงที่ไม่มีรถเข้าไป”
/นาย..เอ่อ
มาร์คใช่มั้ย? เห็นจินยองเคยบอก รออยู่ตรงปากทางนั่นแหละฉันกำลังให้น้องชายฉันออกไปรับ/
“อ่า.. ได้ครับ
ขอบคุณคุณแจบอมมากนะครับ”
/ไม่เป็นไรๆ
ไว้เจอกันนะมาร์ค!/
แล้วสายก็ตัดไปมาร์คจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
ด้วยความที่อากาศร้อนจึงเอากระดาษแผนที่ในมือขึ้นมาพัดแม้เขาจะยืนอยู่ภายใต้ร่มไม้แล้วก็ตาม แต่นอกจากอุณหภูมิที่สูงในเวลากลางวันแล้วมันยังอบอ้าวจนมาร์คเริ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมานิดหน่อย
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงปากทางคนเดียวแบบนี้ครับคนสวย”
น้ำเสียงติดจะกวนประสาทนิดหน่อยดังขึ้นคลอกับเสียงเครื่องยนต์ของยานพาหนะสองล้อที่รูปลักษณ์ไม่น่ามีใช้แล้วในสมัยนี้ที่เจ้าของมันนั้นกำลังคร่อมเจ้าเหล็กนั่นอยู่
ใบหน้าที่ดูกวนๆ ไม่แพ้รูปประโยคทักทายเมื่อครู่ก่อนที่คนได้ยินอย่างมาร์คจะเบ้ปากแรงแล้วก็ไม่คิดที่จะโต้ตอบอะไรกลับไปเพราะคิดว่าคงเป็นเด็กสักคนในกลุ่มนักบิดที่เขามักเห็นตามโทรทัศน์บ่อยๆ
ที่แบมแบมเรียกว่า ‘เด็กแว๊น?’ หรือเปล่านะ?
คิ้วเข้มข้างหนึ่งมีรอยบากสองเส้นเลิกขึ้นอย่างพิจารณาร่างตรงหน้า
ใบหน้าเรียวสวยถูกบดบังด้วยกรอบแว่นสีดำทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงตาของอีกฝ่ายได้
ริมฝีปากสีแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดบวกกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวมใส่ดูจะมีราคาไม่น้อยบ่งบอกได้อย่างดีว่าคนตรงนี้ต้องไม่ใช่ชาวบ้านแถบนี้เป็นแน่
แล้วอีกอย่างเขาอยู่ที่นี่มาหลายปีไม่ยักจะเคยเห็นคนๆ นี้มาก่อน
พวกไฮโซจากเมืองหลวง?
มาร์ครู้สึกได้ว่าคนตรงหน้านี้จ้องตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้วจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไป
เส้นผมสีทองสว่างภายใต้หมวกสแนปแบคสุดเท่ไม่ได้ดึงดูดมาร์คเท่าหน้าตากวนๆ
ที่เขานึกอยากจะสัดหมัดใส่ใบหน้าคมๆ นั้นสักทีสองที!
“มามองหน้ากันแบบนี้คิดจะหาเรื่องกันหรือไงคุณ!?”
“ผู้ชายมองผู้หญิงสวยๆ
มันผิดตรงไหน?”
ชายหนุ่มตอบตามความคิดที่กลั่นมาจากจิตใต้สำนึกล้วนๆ
แต่เรียกเส้นเลือดให้มากองตรงขมับคนฟังได้ไม่ยาก มาร์คดึงแว่นกันแดดราคาแพงออกจากใบหน้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนที่นิ้วเรียวจะชี้ที่ริมฝีปากตัวเองเป็นการย้ำ
“ดูปากฉันดีๆ นะ
กู! เป็น! ผู้! ชาย! โว้ยยยย!!”
“แหม่.. ชัดเลย
คนสวยมีลูกกระเดือกด้วย”
“จะเก็บปากไว้กินข้าวดีๆ
หรืออยากไปหยอดน้ำข้าวต้มกินที่โรงพยาบาลห๊ะ!!”
“หูยยยยยยย
สายโหดนี่หว่าาา แบบนี้แหละเหมาะที่จะมาเป็นแม่ของลูกผมม!!”
.
.
.
หลังจากประโยคนั้นโลกของชายผู้เคราะห์ร้ายก็พลันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที..
LOVE ME LIKE
TBC.
สวัสดีชาวโลก
ชาวเขา ชาวดอยยยยยยย!! ในวันนี้เรามาเปิดฟิคใหม่แหละตัววว!! *หลบทีน*
เราเคยคิดอยากจะแต่งฟิคจาร์คมานานแล้วแหละด้วยความที่ชิปคู่นี้มาตั้งแต่GOT7เดบิวท์ใหม่ๆ แล้ว
แต่ช่วงนั้นไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้ลองเขียนฟิคคู่นี้จริงจังสักทีเหมือนกัน
และก่อนหน้านั้นตอนช่วงไฝว้บัตรมีตเราได้บนไว้ว่าถ้าได้บัตรจะลงฟิคเรื่องนี้ทันทีแต่ก็ไม่ได้ไง
:____;
เสียใจนะที่ไม่ได้ไปเจอเอิน
ไม่ได้ไปเจอกัซ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเราไม่อยากทิ้งฟิคเรื่องนี้ค่ะปลอบใจตัวเองว่าไม่ได้ไปมีตไม่เป็นไรพวกเขาต้องมาไทยอีกแน่ๆ
และเราก็รักคู่นี้เกินกว่าที่จะปล่อยพล็อตให้มันสูญเปล่า
เลยถือเสียว่าเราเปิดเรื่องนี้เป็นการฉลองที่กัซคัมแบคก็แล้วกันเนอะ
:)
ภาษาที่เราใช้มันคงไม่แปลกไปใช่มั้ย?
เพราะเราห่างจากงานฟิคมาพักใหญ่ๆ แล้ว
คงต้องใช้เวลารื้อสมองอยู่สักพัก
55555+
ปล.ฟิคเรื่องนี้จะไม่อัพในเด็กดีเหมือนอย่าง
#บดบบสต นะคะเราจะลงในบล็อกนี้โอนลี่
เพราะมันสะดวกกับเราเวลาลงNCค่ะ(เวลาอ่านจะได้ไม่ต้องย้ายไปย้ายมาด้วย)
ฝากคอมเม้น
ฝากติชมได้ที่ Hash Tag
>> #ficlikeJM
ยังไงก็ฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจแม่ยกด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
Dryices.